วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การใช้คำสั่ง chmod

คัดลอกมาจาก http://www.leksound.net/forum/index.php?PHPSESSID=a3f8a723562adb2cf7cc25850e1c8fa1&topic=12515.msg58694

chmod เป็นการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์

สำหรับท่านที่ทำการติดตั้ง PHP-Nuke บน *NIX หลายท่าน
อาจจะมีปัญหาเรื่องการตั้งค่าเหล่านี้พอสมควร

เพราะหลาย modules จะมีขั้นตอนนึงที่บอกว่า ให้ต้องทำการ chmod
ถ้าหากไม่ทำก็ไม่สามารถติดตั้ง หรือใช้งาน modules เหล่านั้นได้

แต่สำหรับระบบ windows จะไม่มีเรื่อง permissions อันนี้ครับ
ดังนั้นผู้ที่ใช้ระบบ windows ก็ข้ามในส่วนนี้ได้เลย

drwxr-xr-x 2 webadmin admin 4096 Oct 24 23:29 programs
-rw-r--r-- 1 webadmin admin 20729 Oct 24 23:29 readme-tpf.html
drwxr-xr-x 2 webadmin admin 4096 Oct 24 23:22 search
-rw-r--r-- 1 webadmin admin 6129 Oct 24 23:29 sections.html.en
-rw-r--r-- 1 webadmin admin 6245 Oct 24 23:29 sections.html.html


รูปแบบคือ -RWXRWXRWX

อาจจะมี d หรือ l หรือ - นำหน้าอีกตัวนึง (ตัวนี้เราจะไม่กล่าวถึงนะครับ)

d บ่งบอกว่าเป็น directory

l บ่งบอกว่าเป็นlink file ที่เกิดจากคำสั่ง ln

- บ่งบอกว่าเป็นไฟล์


สิทธิ์มีอยู่ 3 อย่างคือ RWX

R=read W=write X=execute

สิทธิ์จะแบ่งเป็น 3 กลุ่มผู้ใช้คือ

3 ตัวแรก => สิทธิ์ของเจ้าของ file

3 ตัวถัดมา => สิทธิ์ของสมาชิกในกลุ่มเดียวกันกะเจ้าของ file

3 ตัวสุดท้าย => สิทธิ์ของคนอื่นๆใครก็ได้ หมายรวมถึงผ่านระบบ inetnet ด้วย

การคำนวณค่าตัวเลขสำหรับการกำหนดสิทธิ์

จากตัวอย่างที่ให้ดูข้างบน จะพบว่า เขาจะแสดงออกมาในรูปตัวอักษร RWX
แต่ในการติดตั้ง PHP-Nuke หรือ Applications อื่นๆ ที่ต้องทำการ chmod

จะพบว่า เขาบอกมาในรูปตัวเลขทั้งนั้น เช่น 777, 666

ตัวเลขที่เขาบอกมา เป็นผลรวมของแต่ละกลุ่ม โดยที่

RWX = 4 + 2+ 1 = 7

ที่มาคือ
R = 2 ยกกำลัง 2 = 4
W = 2 ยกกำลัง 1 = 2
X = 2 ยำกำลัง 0 = 1

สรุปว่า คือเลขฐาน 2 นั่นแหละครับ

ดังนั้น
666 = rw-rw-rw- => ผู้ใช้ทั้ง 3 กลุ่มมีสิทธิ์ read write ทุกคน
755 = rwxr-xr-x => เจ้าของทำได้ทุกอย่าง คนอื่นๆมีสิทธิ์อ่านและเรียกใช้งานเท่านั้น
777 = rwxrwxrwx => ผู้ใช้ทั้ง 3 กลุ่มมีสิทธิ์ทุกอย่างใน file ซึ่งหมายถึง ลบและแก้ไขได้ด้วย
700 = rwx------ => เฉพาะเจ้าของ file เท่านั้น ที่มีสิทธิ์ทุกอย่าง

รูปแบบการใช้คำสั่ง (*NIX)

# chmod [options] mode file...

เช่น chmod -R 777 /www/phpnuke/modules/coppermine/gallery

หมายเหตุ
ใช้คำสั่ง # man chmod เพื่อดู options ที่สามารถใช้ได้
options เช่น -R คือการรวมถึง subdir ย่อยทั้งหมดด้วย

หรือจะใช้ผ่านทางโปรแกรมพวก ftp ทั้งหลายก็ได้ครับ

ซึ่งจะมีคำสั่ง chmod ให้อยู่แล้ว
เลือก file หรือ dir ที่ต้องการ แล้ว chmod ได้เลย

ถ้าจะเอาคำสั่งแบบยากๆ งงๆอีกนิดนึง
ก็สามารถทำได้นะครับ เช่น

# chmod go-rwx /www/phpnuke/modules/coppermine/gallery

อันนี้จะมีค่าเท่ากับ chmod 700 ครับ งงมั๊ยครับ?Huh??

ความหมายคือ ให้เอาสิทธิ์ rwx ออกจาก g(group=คนในกลุ่มเดียวกัน) และ o(others=คนอื่นๆ)
ดังนั้นก็จะเหลือเป็น rwx------ ซึ่งก็เท่ากับ 700 นั่นเอง
ก็เป็นไปตามสิทธิ์ของ 3 กลุ่มผู้ใช้นั่นแหละครับ
จะมีตัว u (user) ซึ่งหมายถึงเจ้าของไฟล์
และ a (all) หมายถึงทุกคนเลย

เช่น
# chmod ugo+rwx filename => chmod 777 นั่นเอง

หรือจะเป็น
# chmod a+rwx filename ก็ได้

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วิธีการแยกแยะชวนชมสายบางคล้า

บทความนี้คัดลอกมาจาก http://www.pantown.com/board.php?id=30006&area=4&name=board7&topic=11&action=view

ไม้สายบางคล้า จะมีคุณสมบัติดังนี้
1.ให้ลูก ที่ได้ฟอร์ม มกท. ขหซ. มกพ. ชฎพ. ปะปนกันไป แล้วแต่กิ่งแม่พันธุ์นั้นๆ จะให้ลูกไปทางไหน
2. เมล็ดพันธุ์ ใน 1 ฝัก จะให้ลูกออกมา ดอก ต้น ใบ ฟอร์ม ที่แตกต่างกันไป แม้จะผสมเองด้วยมือ (มีการกลายสูง)
3. และการกลายที่มีน้อยนิด คือ ต้นแคระ แฝด ด่าง
..... ที่ผมเล่ามาทั้งหมด คือลักษณะของกิ่งบางคล้า เมื่อท่านเพาะเม็ดสายนี้ เขาจะคัดต้นที่มีฟอร์มต่างออกจากกันออก แล้วเรียกชื่อตามฟอร์มนั้นๆ และท้ายที่สุด ต้นที่ไม่มีฟอร์มจะได้ชื่อบางคล้าไปใช้
....ชื่อแรก มกท. เกรดเอ คัดเอาไปขายสำหรับคนชอบสวม
....ชื่อที่2 เขาหินซ้อน สำหรับคนชอบมวยรอง กิ่งขนานแต่กิ่งยืด
....ชื่อที่ 3 มกพ. สำหรับฟอร์ม กิ่งชี้ 45 องศา
....ชื่อที่ 4 ชฎพ ถ้าใบออกฟ้ากิ่งถี่
....ชื่อที่ 5 บางคล้า เป็นชื่อสุดท้ายที่ไร้ฟอร์ม

สำหรับสวนผม จะขายลูก และเรียกตามกิ่งที่ใช้ทำพันธุ์ และเลือกกิ่งแม่พันธุ์ ที่ให้ลูกมีลักษณะเฉพาะเปอร์เซ็นสูงๆ
.... ส่วนข้อที่ถามว่า ใบ ดอก ของแต่ละชื่อมีลักษณะอย่างไร ผมตอบได้เลยว่า ไม่เหมือนกันซักต้น เพราะว่ากิ่งแม่พันธุ์ที่เรามีอยู่ มันยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุงสายพันธุ์ จนสามารถให้ลูกได้มีลักษณะที่เหมือนกันทั้งหมด
ดังนั้นท่านไม่ต้องแปลกใจว่า ชื่อไม้เดียวกัน ทำไม จึงไม่เหมือนกันนะครับ



ภาพที่ 1 เป็นเขาหินซ้อน เป็นลูกของกิ่งดำริ
ต้นที่ 2 เขาหินซ้อน เป็นลูกของกิ่งดำริ
ทั้ง 2 ต้น ใบ กิ่ง ฟอร์ม ดอก แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างฟอร์ม
1. มกท

ต้นจริง

2.ต่อไป มกพ. ตำหนิตรงที่ ต้นขาว ผิวสวย กิ่งชี้ 45 องศา มีคอ

รูปจริง

3.เขาหินซ้อน ตำหนิรูปพรรณสัญฐาน เหมือน มกท. ต่างตรง กิ่งยืดกว่า และกิ่งเยอะกว่า แตกกิ่งแขนงไวกว่า และมากว่า มกท.

รูปจริง

4.ชฎาเพชร

รูปจริง

5. สุดท้ายที่ ชื่อบางคล้า ไม้สายนี้ทุกตัวที่ตั้งชื่อไม่ได้ บางคล้าขอรับใช้ครับพี่น้อง บ้างก็บอกว่าผิวเขียว บ้างก้บอกว่าผิวขี้กลาก บ้างก็ว่าใบบาง บ้างก็ว่าใบหนาเขียว สารพัดจะว่า เพราะนั่นคือ ความไม่นิ่งของชวนชม


รูปจริง

ประวัติชวนชมเพชรกรุงเก่า


คัดมาจาก http://www.pantown.com/board.php?id=20239&area=3&name=board13&topic=3&action=view
เพชรกรุงเก่าเป็นลูกของเพชรบ้านนา เจ้าของเดิมคือคุณลุงยุทธ ชื่อจริงจะไปถามแกอีกทีครับ แกเห็นต้นไม่ค่อยโต แต่กิ่งสวยก็เลยเล็มกิ่งมาเสียบปรากฏว่าสวย แล้วยังมีคนเห็นความสวยมาทำต่ออีกหลายท่านอาทิ พี่จามร คนนี้ทำไว้เยอะทั้งต่อทั้งตอน คุณนก ณ บางปะหัน คนนี้ทำให้เพชรกรุงเก่ามาดังในเวปของพี่ทรงกลด ผมก็ได้รับความกรุณาจากคุณนก ติดต่อซื้อเพชรกรุงเก่าต้นแม่ในราคา xx,xxx อิอิ ไม่บอก กะจะเอาให้บึ้มครับ ลองดูต้นแม่ครับ

ประวัติชวนชมบางคล้า


คัดมาจาก http://www.pantown.com/board.php?id=32952&area=3&name=board5&topic=1&action=view
ต้นกำเนิดโดยคุณลุงชัย ปัญญาจาโรได้นำเข้ามาจากประเทศซาอุ.เมื่อประมาณปี2526 หลักจากนั้นหลานชายคือคุณหนุ่ม หนองแหนได้นำกิ่งมาเสียบตอไทย และเริ่มทำการตลาดเมื่อปี2540โดยเปิดราคาไว้ที่1,500บาท และใช้ชื่อดำริสิทธิโชคเมื่อปี2542 ก่อนจะถูกเรียกว่า "บางคล้า"ในเวลาต่อมา และเป็นต้นกำเนิดการพัฒนาชวนชมลักษณะเด่นๆอีกหลายสาย อาทิเช่น มงกุฏเพชร,เขาหินซ้อน,สวยปลายเขต,ชฎาเพชร,เพชรพระนคร,เพชรกาญจนา...และบาง กระแสยังบอกว่าเป็นต้นกำเนิดมงกุฏทองด้วยเช่นกัน
กิ่งแม่เสียบดั้งเดิมของ บางคล้า

ประวัติชวนชมมงกุฎเพชร บางคล้าและชฎาเพชร

คัดลอกมาจาก http://www.pantown.com/board.php?id=15361&area=4&name=board16&topic=64&action=view
มงกุฏเพชรเป็นลูกของไม้ตระกูลบางคล้าที่ถูกตั้งชื่อโดยสวน NSD
โดยมีจุด เริ่มจากสวน NSD ไปซื้อลูกของไม้ตัวนึงที่ อ.บางคล้าแปดริ้วมากจากคุณหนุ่ม หนองแหน มาจำนวน 11 ต้นและมาขยายพันธ์ในนามของบางคล้า แต่ต่อมาต้องการทำตลาดต่างประเทศจึงเปลี่ยนชื่อเป็น มงกุฏเพชร ในที่สุด
ต. หนองแหน..อยู่ใน อ. พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา..ต้นกำเนิดของชวนชมสายพันธุ์ดังๆ หลายตัว ที่มีชื่อเสียงอยู่ในเวลานี้ ..ความจริงชวนชมก็เหมือนต้นไม้ประดับชนิดหนึ่ง แต่เพราะเหตุผลเกี่ยวกับผลประโยชน์ จึงเกิดเรื่องราว เกิดตำนาน เพื่อสร้างชื่อเสียง และ ต่อยอดทอดสะพาน..ไปสู่..เงิน..และความสับสนของสายพันธุ์ชวนชมสายนี้อย่างที่ หาข้อยุติได้ลำบาก..

ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติอะไร ในสังคมของการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตน ใครๆก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ก่อน..วันนี้พาไปรู้จักกับ..ต้นตระกูลบาง คล้า..
ข้อมูลต่างๆ ได้มาจากการสอบถามบุคคลในวงการชวนชม จ.ฉะเชิงเทราหลายท่าน..ซึ่งจะขอเลี่ยงการเอ่ยนามตรงๆทั้งหมด แต่ถ้าท่านใดสงสัย สามารถเมล์หรือโทรมาสอบถามทางอาศรมฯได้..
ข้อมูลต่างๆ ได้กลั่นกรองมาบ้างแล้ว มิได้ใช้ความเห็นของคนๆหนึ่งหรือบุคคลกลุ่มหนึ่ง มาเป็นบรรทัดฐานในความเห็น บางข้อมูลก็เป็นที่เปิดเผยในนิตรสารไม้ประดับทั่วไป..
ตามตำนาน ไม้กระถางนี้..ยอดเป็นสายพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศ..(เขาว่าอย่างนั้น) อายุกว่า 20 ปี..ส่วนตอเป็นตอไทยขนาดใหญ่..ได้ดูและศึกษาแล้ว อายุของตอไทยน่าจะถึง 20 ปี แน่นอน แต่ส่วนยอดพันธุ์ .ไม่แน่ใจ..ว่าเสียบมาแล้วถึงยี่สิบปีหรือเปล่า..

หลังจากไม้ต้นนี้ ให้ดอกและติดฝัก..สามารถเพราะลูกไม้ออกมาได้ 90 ต้น (หนึ่งในนั้นคือต้นที่ทางอาศรมฯเป็นนายหน้าขายไปในราคา 20500 บาท และในที่เดียวกันยังเหลือรุ่นแรกนี้อีกหนึ่งต้น แต่ขนาดเล็กกว่ากันมาก.)..ยุดหลังปีสี่สิบกว่าๆ กระแสโซโคฯเพชรบ้านนา เริ่มเป็นที่รู้จัก...หนึ่งแม่และเก้าสิบลูก ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากในวงการส่วนมากจะสนใจแต่เพชรบ้านนา..
หนึ่งแม่ จึงไม่ค่อยได้รับการขยายพันธุ์..(ปัจจุบันที่เจ้าของสายพันธุ์ เท่าที่ทราบและเห็น..ที่หนองแหนเสียบไว้รวมเป็นสามต้น บ้านภรรยาที่บางคล้า เสียบใส่ตอไทยไว้อีกหนึ่งต้น)..ส่วนจะมีที่อื่นอีกไหม ไม่ยืนยันเพราะเอาแค่ที่เห็น..ปัจจุบัน เจ้าของไม่ขาย และ ไม่นำออกจากหนองแหน..(แต่เมื่อเร็วๆนี้ .ได้นำไปแรกกับกิ่งแม่พันธุ์ เอส 1..แถวปทุมธานี ส่วนจะแลกกับใคร แลกไปกิ่งใหญ่เล็ก ผมไม่ทราบ..เห็นแต่กิ่ง เอส 1 ที่แลกมา)

ส่วนลูก 90 ต้น..ได้ขายออก ตอนที่ชวนชมโซโคฯ ยังไม่เป็นที่นิยมสำหรับผู้ปลูกเลี้ยงต้นไม้ทั่วไป..จากคำให้การของเจ้าของ สายพันธุ์ ลูกเก้าสิบต้น..ที่ได้ไปเลี้ยงมากที่สุด ไม่ใช่คนในวงการต้นไม้.เขาซื้อไปเผื่อปลูกประดับบ้าน...เป็นสกุลใหญ่โตที่คน แปดริ้วรู้จักดี....ไม่เอ่ยนามสกุลของเขาตรงๆ..ผู้ที่ได้ไปมาก คือคนในสกุล..เจ้าของวลี ..ยุ่งตายห่า..หรือ ฉายา โค้วตงหมง..ในวงการ..การเมืองไทย.....(แต่ไม่ได้จำนวนที่แน่ชัดมา...)
ผู้ ที่ได้ไปมากอีกหนึ่งท่านคือ..ช่างอ๊อด บางคล้า..มีอู่ซ่อมรถอยู่ติดกับวัดโพธิ์ บางคล้า..วัดที่มีค้างคาวเยอะๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวนั่นแหละ...ตามเสียงเล่าลือ ช่างอ๊อดได้ไปกว่า 20 ต้น..และคำว่า ยักษ์บางคล้า เกิดขึ้นตรงนี้...

ใครก็ตามที่ซื้อชวนชมจากช่างอ๊อด..เขาจะเรียกว่า ยักษ์บางคล้า...
ยุค นั้นไม่ค่อยเน้นเรื่องชื่อสายพันธุ์สักเท่าไหร่..หนึ่งท่านอาจารย์จาก วิทยาลัยเขาหินซ้อนได้จากช่างอ๊อดไปหนึ่งต้น เห็นลักษณะที่แตกต่างไปจากยักษ์บางคล้าทั่วไป ..คือการแตกกิ่งที่เยอะซับซ้อนกว่า.จึงนำไปตั้งชื่อใหม่ เรียกเล่นๆว่า เขาหินซ้อน...ตามชื่อสถานที่...ปัจจุบันต้นแม่เขาหินซ้อนเท่าที่ทราบ..ตายไป แล้ว....และอาจารย์ที่ได้ตั้งชื่อ เขาหินซ้อน ก็ได้ย้ายออกนอกพื้นที่ไปนานแล้ว...แต่ตอนนี้มีอาจารย์เก่าแก่อีกท่านหนึ่ง ของวิทยาลัยนี้..เก็บสายพันธุ์ เขาหินซ้อนนี้ไว้ ..จนถึงปัจจุบัน และค่อนข้างหวง...

อาจจะเกิดคำถามที่ว่า...เขาหินซ้อน..ทำไมมีอยู่ ทั่วไป...คำถามนี้ตอบไม่ยากเลย..แต่ตอบไปแล้ว อาจเกิดปัญหาตามมามากมาย...(สำหรับคำตอบนี้ เฉพาะสมาชิกทางอาศรมฯ สามารถเมล์หรือโทรมาสอบถามได้..)
ข้อมูล..เจ้าของสายพันธุ์ที่หนองแหน..เป็นนักศึกษา รุ่นหนึ่ง ของวิทยาลัย เขาหินซ้อน..และได้เห็นเขาหินซ้อนต้นแม่ในขณะนั้นด้วย...
ยักษ์ บางคล้า ของช่างอ๊อดกระจัดกระจายไปพอสมควร ทางอาศรมฯเอง ก็ไล่หาข้อมูลอยู่ และ ยักษ์บางคล้านี่แหละ คือที่มาของ..มงกุฎทอง..(อาจจะมีตำนานใหม่ แต่เรื่องนี้คนพื้นที่รู้กันดี สงสัยสอบถาม..ช่างอ๊อดที่ข้างวัดโพธิ์ บางคล้า..ได้)..ในยุคต้นของมงกุฎทอง..เจ้าของมงกุฎทองเอง..ก็ได้เข้ามาที่ หนองแหน..และเลือกซื้อ ลูกของสายพันธุ์หนองแหน ที่มีลักษณะเหมือนมงกุฎทองไปจากสวนหนองแหน..
ข้อมูล..อาศรมลีลาวดี อยู่ห่างหนองแหนประมาณ 20 ก.ม...บางคล้า ประมาณ 30 ก.ม และ เขาหินซ้อนประมาณ 10 ก.ม.เท่านั้น..ข้อมูลต่างๆ จึงหาได้ไม่ยากนัก...
ลูก ของยักษ์บางคล้า..อีกหนึ่ง ได้กลายเป็น ต้นแม่ของสายพันธุ์ดัง แห่งแปดริ้ว...ชฎาเพชร...ซึ่งสามารถหาอ่านเอาได้ทั่วไป..ตำนานที่มาของชฎา เพชร ค่อนข้างตรงตามที่เจ้าของเขาบอก ต่างกันเพียง
แต่ ..
แม่ของชฏาเพชร..เจ้าของ ไม่ได้มาโดยตรงจากหนองแหน แต่มาจากนักปลูกชวนชมอีกท่านหนึ่ง มีสวนอยู่แถว อ.แปลงยาว ในราคา สี่หมื่นบาท.. ที่ทราบชัดเจน เพราะ มีสหายท่านหนึ่ง เคยไปขอซื้อ ต้นแม่ชฎาเพชร ในราคาหกหมื่นบาท แต่เจ้าของไม่ขายให้..กลับขายให้ญาติกัน ในราคาสี่หมื่นบาท..

หลังจากที่โซโคฯเริ่มมีคนสนใจมากขึ้น บางคล้าเริ่มได้รับความสนใจ..คนเริ่มหันไปหา ..แหล่งที่มาของบางคล้า..
ซึ่ง ก็คือที่หนองแหนนั่นเอง..แต่ตอนนี้สถานะการณ์ต่างๆเปลี่ยนไป..เจ้าของพันธุ์ ที่หนองแหน จับมือกับสวนใหญ่ในกรุงเทพฯ..(จันทร์-ศุกร์ ..ทำงานที่บางคล้า...วันเสาร์เข้าสวนใหญ่ที่กรุงเทพฯ ..วันอาทิตย์อยู่สวนที่หนองแหน)..ทำธุรกรรมทางการค้าร่วมกัน..เกี่ยวกับสาย พันธุ์หนองแหน จึงเปิดตำนานหน้าใหม่ขึ้นอีก...

กิ่งพันธุ์หนองแหน..(รูปแรกสุด)ไม่เคยขายออกจากสวนไปให้ใคร..ก็ว่ากันไป..แต่ความจริงมันไม่ตาย...
ถอย หลังไปประมาณเกือบสองปี..เคยมีคนซื้อไปได้ ในราคานิ้วละร้อยบาท..ทางอาศรมฯได้พบท่านที่ซื้อไปถึงสองท่าน..จริงหรือเท็จ ประการใด..มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์..แต่ยังไงซะก็ต้องขอบคุณเจ้าของ พันธุ์หนองแหน..ที่พาดู แนะนำวิธีดูสายพันธุ์หนองแหน..ถึงแม้จะพูดบอกว่า...ผมขายให้พี่ไม่ได้..
แต่ประโยคที่ว่า..พี่เจอใครเขาขายหนองแหน ลักษณะอย่างที่ผมบอก พี่ก็ซื้อไปเถอะ....(ขอบใจหนุ่ม..)
มงกุฎ เพชร..หลังจากที่เจ้าของสายพันธุ์หนองแหน จับมือกับสวนใหญ่ในกรุงเทพฯ..ลูกของหนองแหนในบางลักษณะจึงถูกตั้งชื่อใหม่ ว่า .มงกุฎเพชร..เผื่อผลทางการค้า..และ

ลูกของหนองแหน ในบางลักษณะ..(ที่เคยเลือกออกไป เมื่อเหมือนมงกุฎทอง..) ก็ถูกเลือกออกไปอีก(แต่เปลี่ยนสวน).คราวนี้มาในชื่อ เพชรพระนคร..

และลูกของหนองแหน ที่มีลักษณะ แตกกิ่งก้านซับซ้อน..ถูกเลือกออกไปในชื่อ ..เขาหินซ้อน...
นี่ เฉพาะในสายของหนองแหน..ไม่รวม สายยักษ์บางคล้า ที่แพร่ลูกหลานออกไปอีกไม่น้อย ทางอาศรมฯก็ได้มาหนึ่งตัว.เร็วๆนี้..ก็คงเปิดตัวสู่วงการชวนชมทั้งในและต่าง ประเทศ..

ข้อมูลหลายอย่าง..เนื่องจากลดปัญหาการวิวาทะลง..เพราะมันจะ ยิ่งเป็นหนทางเสื่อมให้กับต้นไม้..ทางอาศรมฯจึงพยายามเลี่ยงการใช้ชื่อ..มาก ที่สุด..

แต่ความจริงนั้นเป็นสิ่งไม่ตาย..ความละอายพึงมีในผู้เจริญ..
หลัง จากอ่านทั้งหมดจบแล้ว เฉพาะสมาชิกของทางอาศรมฯ สามารถเมล์หรือโทรมาสอบถามข้อมูลต่างๆเพิ่มเติมได้..ส่วนถ้าตรงไหนขัดใจใคร อย่าโทรหรือเมล์มาด่า..บอกดีๆ เจอกันตรงไหนก็ได้ในที่สาธารณะ จะเลี้ยงก๊วยเตี๋ยวสักหนึ่งชาม..

รูปดอก เป็นดอกหนองแหน ต้นตระกูลของบางคล้า..
ส่วนใบทั้งหมดเป็นหนองแหนล้วนๆ ถ่ายจากต้นจริง..หลายๆมุม..

ใบแคบ ..ใบแก่กระดูกใบจะเป็นสีแดง..
ใบจะห่อ..ที่ห่อเพราะ.. ขอบใบนั้นบาง ส่วนกลางใบจะหนากว่า ลูบดูหลายๆใบจะสัมผัสได้..
บางใบเมื่อห่อขึ้นจะเห็นปื้นสีแดงใต้ใบเป็นบางใบ..ซึ่งต่างจากหนองแหนสายอื่น โดยสิ้นเชิง..
ต้นน้ำของโซโคฯเมืองไทย..สายหนองแหนอาจเป็นต้นน้ำใหญ่..แต่เหนือขึ้นไปยังมีอีก..
เร็วๆนี้ พบกับ..ชวนชมเพชรบ้านนา..ในลำดับถัดไป..
เพชรบ้านนาสายแปดริ้ว..แท้หรือไม่ ..คราวหน้าพบกับความเห็น...จากทางอาศรมฯ..

ประวัติชวนชมเพชรบ้านนา


คัดลอดมาจาก http://www.petchbanna.20m.com/boon.htm

คุณ บุญเสริม เกียรติกุล

ผู้สร้างตำนาน ให้วงการชวนชมไทย ปัจจุบันอายุ 78 ปี สุขภาพยังแข็งแรง เป็นคนชอบเพราะเลี้ยงต้นไม้ เป็นอย่างมาก ครั้ง เมื่อสมัยที่กล้วยไม้กำลังดัง ประมาณ 30 ปีมาแล้ว ท่านก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการกล้วยไม้มาก่อน มีอาชีพหลักเป็นคนขับรถขนส่ง ร.ส.พ. จึงมีความชำนาญในการขับรถเป็นอย่างดี ในปี 2522 ประเทศทางตะวันออกกลางมีความต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก เพื่อพัฒนาประเทศ ดังนั้น ลุงบุญเสริม จึงมุ่งหน้าไปขุดทองยังประเทศซาอุ ไปยยู่นานมาก หลายปี จนรู้เส้นทางในประเทศซาอุ และสภาพของแต่ละเมืองเป็นอย่างดี ระหว่งที่อาศัยอยู่ที่พัก มักจะหาต้นไม้แปลกๆ ในทะเลทรายมาปลูกไว้เสมอ จนอยู่มาวันหนึ่งได้เดินทางไปเมืองคัมมิต ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่สุงกว่าระดับน้ำทะเลมาก และมีภูเขาหินมากมาย จึงได้ถ่ายรูปไว้บ้าง ...แต่วันที่ไปพบ ชวนชมนั้นไม่ได้เอากล้องไป เพราะไปพบด้วยความบังเอิญ ต้นที่พบเป็นต้นที่ ล้มอยู่ในลักษณะนอน มีขนาดใหญ่เท่ากับถังขนาด 200 ลิตร สามารถขึ้นไปขี่เล่นได้ ซึ่งเป็นชวนชมที่แปลกมาก ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงตัดสินใจตัดกิ่งมาปักชำไว้ยังที่พัก ปีที่นำกลับมาจากประเทศซาอุ ประมาณ ปี 2528 โดยการแอบเอากระดาษห่อไว้ในลังโทรทัศน์ และได้นำมาปลูกไว้ในกระถางขนาด 12 นิ้ว ที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี การปลูกครั้งนั้นไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะต้องกลับไปขุดทองที่ประเทศซาอุต่อ หลังจากไม่ได้ไปซาอุ ก็ได้ย้ายบ้านมาอยู่ที่ อ.บ้านนา จ.นครนายก เพราะมีที่ดินมรดกอยู่ที่ ต.เขาเพิ่ม ประมานปี 2534 ซึ่งตอนที่มาอยู่ที่อำเภอบ้านนาก็เริ่ม ติดผักและมีการเพาะเลี้ยง มาเรื่อยๆ บางครั้งมีญาติพี่น้องมาเที่ยวหา อยากได้ก็แจกจ่ายไป ในขณะนั้นเขานิยมปลูกโป๊ยเชียนกัน พอมาถึงปี 2539 โป๊ยเซียนเริ่มเพิ่มมากขึ้นจนราคาเริ่มตกต่ำ คุณอนุชา กับเพื่อนๆเห็นว่ามีชวนชมที่แปลกอยู่ต้นหนึ่ง ที่คุณพ่อของอนุชานำมาเพราะเลี้ยงไว้ และมีต้นลูกอยู่หลายร้อยต้น จึงดัดสินใจร่วมตัวกันลงทุน และรวบรวมสายพันธุ์ให้มากที่สุด หวังว่าจะเป็นสวนชวนชมที่มีสายพันธุ์มากที่สุดในเมืองไทย แล้วต่อมาก็ประสบความสำเร็จ แต่ด้วยความมาแรง และก็ไปแรงเช่นกัน ทำให้สวนชวนชมเพชรบ้านนาต้องเลิกลาไปในที่สุด ........ ปัจจุปันต้นแม่ที่นำมาจากประเทศซาอุ อยู่ที่อุทยานหินล้านปี ที่พัทยา แต่ก็มีผู้ที่ได้สระสมไว้หลายคนที่ยังหลงเหลืออในมืองไทย บางส่วนถูกขายออกไปนอกประเทศ กิ่งแม่ที่เสียบต่อไทยไว้ยังคงอยูที่คุณอนุชา ...ทราบมาภายหลัง ว่าเริ่มกลับมาผลิตสายพันธุ์นี้อีกครั้ง และกำลังจะสร้างสายพันธุ์ใหม่ขึ้นอีก อย่างไรก็ดี Socotranum สายพันธุ์ที่ชื่อว่าเพชรบ้านนาเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศไปแล้ว โดยให้ชื่อว่า Thai Socotranum Peth Ban Na

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วิธีทำให้กิ่งอ้วน

ปัญหาคือว่า ใบมีความสมบูรณ์ดี แต่ว่ากิ่งผอม อยากจะให้กิ่งอ้วนควรทำอย่างไร
วิธัแก้
ตัดใบส่วนยอดให้หมด(ซัก5-10ใบ) แต่ให้เหลือใบล่างๆไว้ครับ ใส่ปุ๋ยออสโมโคสสูตรเสมอ ออกแดดเต็มที่ ห้ามใช้B1....

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การลบ google earth ออกจาก UBUNTU 8.04

1.เปิดเทอร์มินอล แล้ว CD เข้าไปยังโฟว์เดอร์ที่ติดตตั้งgoogle earthไว้แล้วลองหาดูว่ามีไฟล์ที่เกี่ยวกับการลบเช่น remove หรือ UNINSTALL หรือเปล่า กรณีมี UNINSTALL
2. ใช้คำสั่ง sh uninstall แล้วเอ็นเทอร์
จากนั้นรอ
หลังจากลบแล้วมีโฟว์เดอร์หลงเหลืออยู่ผมใช้วิธีลบธรรมดาทิ้งไปเลย

กาารติดตั้ง google earth ใน UBUNTU 8.04

1.ดาวโหลดไฟล์ GoogleEarthLinux.bin จากลิ้ง http://earth.google.com/
2. เปิดเทอร์มินอล แล้ว CD เข้าไปยังโฟว์เดอรที่ไฟล์อยู่
3. ใช้คำสั่ง sh GoogleEarthLinux.bin กดเอ็นเทอร์
แล้วรอ

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วิธีการเอาต้นไม้ลงดินหลังจากได้รับมาทางไปรษณีย์

เมื่อได้รับไม้มาจากบุรุษไปรษณีย์แล้ว....
1.ตรวจดูราก ว่ามีฟกช้ำดำเขียวตรงไหนบ้าง หากเจอก็จัดการเล็มๆออกซะ.....แล้วก็แขวนผึ่งลมไว้ในที่ร่มสัก 2-3 วัน..
2. เมือผึ่งลมไว้ได้เวลาพอสมควรแล้วก็จัดการ นำต้นไม้ มาแช่ในน้ำยาบำรุงราก B1+ยากันเชื้อรา จะเป็น เมทาแลคซิล หรือ คาเบนดาซิมก็แล้วแต่ ที่ผสมน้ำแล้วแช่ส่วนรากไว้ ประมาณ 15-20 นาที
3. ระหว่างที่แช่รากของต้นไม้ก็จัดการเตรียมดินปลูก...เน้นให้ดินโปร่งๆที่ สามารถระบายน้ำได้อย่างสะดวกแบบเวลารดน้ำแล้วน้ำไหลผ่านออกก้นกระถางเลย ยิ่งดี...ไม่ควรผสมปุ๋ยหรือใส่ปุ๋ยใดๆลงไปในเครื่องปลูกนี้...เพราะจะทำให้ รากเน่าได้
4.นำไม้วางบนดินในกระถาง จัดราก แล้วเอาดินกลบ
5.รดด้วย น้ำที่แช่รากครั้งแรกนั่นแหละ...เสร็จแล้ววางไว้ในร่มหรือในที่แดดรำไร ประมาณ 5-7 วันให้สังเกตุที่ยอดจะมีใบอ่อนๆเริ่มแตกออกมา แสดงว่ารากฝอยเริ่มเดินแล้ว....
6.ให้นำออกแดดที่อ่อนๆก่อนอีกสัก2-.3วัน....ถ้าไม้ยังมีอาการปกติดีก็นำออกแดดจัดได้เลย
7. ไม่จำเป็นที่จะต้องรดน้ำทุกวัน สัก 2.-3 รดครั้งหนึ่งก็ได้ โดยดูที่หน้าดินเป็นหลัก หากเห็นว่ายังชุ่มชื้นดีอยู่ก็คงไม่จำเป็นต้องรดบ่อย

ธาตุอาหรรองที่มีความสำคัญต่อพืช

ธาตุแมกนีเซียม แมงกานีส และธาตุเหล็ก จัดอยู่ในประเภทธาตุอาหารที่พืชต้องการน้อย แต่จะขาดเสียเลยพืชก็จะไม่เจริญเติบโตได้อย่างปกติ
1.ธาตุแมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ในพืช ทำให้ใบมีสีเขียวเข้ม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสงของพืช หากขาดธาตุนี้แล้วจะแสดงออกที่ใบแก่บริเวณขอบเส้นใบจะมีสีเหลือง หรือมีแผลไหม้เป็นจุดแก้ไขโดยการใส่ปูนโดโลไมต์ อัตรา 20-25 กิโลกรัม ต่อไร่ ทุก ๆ 4-5 ปี อาการขาดแมกนีเซียมจะหมดไป
2. ธาตุแมงกานีส เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิด หรือบางคนนิยมเรียกว่า น้ำย่อย หากขาดธาตุแมงกานีสแล้ว ใบส่วนกลางของต้นไม้จะเกิดเป็นแผลขึ้นระหว่างเส้นใบ แต่โดยธรรมชาติแล้วต้นพืชขาดธาตุแมงกานีส เนื่องจากดินส่วนใหญ่จะมี pH ต่ำกว่า 7 ซึ่งจะแสดงการขาดธาตุแมงกานีสก็ต่อเมื่อดินปลูกมี pH เกิน 7 ขึ้นไป หรือดินมีฤทธิ์เป็นด่างนั่งเอง แต่ถ้าหากเกิดการขาดธาตุนี้ขึ้นแก้ไขด้วยการใส่ แมงกานีสซัลเฟต ในอัตรา 1-5 กิโลกรัม ต่อไร่ อาการของการขาดธาตุมังกานีสก็จะหมดไป
3.ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของคลอโรฟีลล์อีกธาตุหนึ่ง นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการหายใจของพืชอีกด้วย การขาดธาตุเหล็กจะเกิดขึ้นในดินที่มีหินปูนเป็นองค์ประกอบคือ มีค่า pH เกิน 7.5 ขึ้นไป อาการที่พบ ใบและยอดอ่อนจะมีสีเหลือง แก้ไขได้โดยใส่เหล็กซัลเฟต อัตรา 2-6 กิโลกรัม ต่อไร่ อาการขาดธาตุเหล็กจะหมดไป ภายใน 1 สัปดาห์ ขอเพิ่มเติมอีก 2 ธาตุ คือ
4.สังกะสี เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิด แต่ต่างชนิดกับธาตุแมงกานีส เป็นส่วนประกอบของ ฮอร์โมน หรือ สารควบคุมการเจริญเติบโตของต้นพืชเป็นความหมายเดียวกัน การขาดธาตุสังกะสีจะพบว่า ใบอ่อนของพืชจะมีสีเหลืองซีดคล้ายกับการขาดธาตุเหล็ก ดินที่ใส่อินทรียวัตถุอย่างสม่ำเสมอหรือใส่หินฟอสเฟตมักจะไม่ขาดธาตุชนิดนี้
5. ธาตุโบรอน มีส่วนสำคัญในกระบวนการเคลื่อนย้ายน้ำตาลผ่านผนังเซลล์พืช ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แป้งและน้ำตาล พืชที่ขาดโบรอนส่วนยอดจะไม่พัฒนา ต้นจะเตี้ย มีข้อหรือปล้องสั้น ใบจะเขียวเข้มเปราะและฉีกขาดง่าย แก้ไขโดยฉีดพ่นด้วย
6. บอแรกซ์ ที่ระดับความเข้มข้น 0-5-1.0% ที่ใบ 2-3 ครั้ง หรือใส่ลงดิน อัตรา 1-3 กิโลกรัม ต่อไร่ อาการขาดโบรอนจะหมดไปในที่สุด

เทคนิคการเลี้ยงให้ดอกดก

คัดลอกมาจาก http://www.pantown.com/board.php?id=26405&area=4&name=board11&topic=21&action=view

การเลี้ยงชวนชมให้ดอกดกและสวยงามนั้น ต้องเลี้ยงกลางแจ้งให้ได้รับแสงแดด 100 เพราะชอบแดดจัด รดน้ำวันละครั้ง การเตรียมดินสำหรับปลูกควรใช้ดินผสมใบก้ามปูหรือดินขุยไผ่ และมะพร้าวสับอย่างละเท่าๆ กันผสมกันให้ทั่ว ใช้มะพร้าวสับรองก้นกระถางก่อนเพื่อการระบายที่ดี แล้วบำรุงด้วยปุ๋ยคอกผสมมะพร้าวสับ อัตรา 2 ต่อ1 ใส่หน้าดินเป็นระยะ ๆ
การ ตัดแต่งกิ่งทรงพุ่มเพื่อให้ชวนชมออกดอก เมื่อต้นชวนชมปลูกมาได้สมบูรณ์เต็มที่กิ่งทุกกิ่งอ้วนสมบูรณ์ แข็งแรงถ้าไม่สมบูรณ์ก็ไม่ควรตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งเพื่อให้ออกดอกให้ตัดแต่งกิ่งไปตามรูปทรงของต้นไม้หรือจะ เป็นทรงกลมหรือดอกเห็ดก็ได้ ควรตัดกิ่งทุกกิ่งอย่าให้มียอดเล็กยอดน้อยและใบเหลืออยู่หลังจากตัดแต่ง เสร็จก็อด น้ำประมาณ 15-20 วันจะเริ่มเห็นตุ่มดอกโผล่ออกมาจากตากิ่งก็เริ่มให้น้ำปกติเพื่อป้องกันดอก ฝ่อและแห้ง แล้วบำรุงด้วยปุ๋ยเร่งดอกสูตร 16-16-16 โรยโคนต้นแล้วรดน้ำ เมื่อแตกใบก็ให้ฮอร์โมนเร่งดอก ผมใช้ของกล้วยไม้ อัลฟ่า-โอเมก้า ผสมกับแอ็ปซ่า-80 เป็นสารจับใบของแอมเวย์ หรืออื่นๆก็ได้ ที่เร่งดอก ฉีดพ่นทุก 15 วัน เท่านั้นล่ะคร๊าบดอกออกเต็มต้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่แต่ละสายพันธุ์ แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าดอกดกขึ้นกว่าเดิม ชัวร์....
ถ้ามีเวลาจะทำขั้นตอนมาให้ดูนะคร๊าบ.. ท่านใดมีเทคนิคอื่นๆก็ช่วยแนะนำเพิ่มเติมด้วยครับ จะได้บรรลุและนำไปทดลองดูคร๊าบ....

การทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ EM (โบกาฉิ)

วัสดุและส่วนผสม
ก) มูลสัตว์ (ทุกชนิด) ๑ ส่วน
ข) แกลบดิบ ๑ ส่วน
ค) รำละเอียด ๑ ส่วน หรือมันสำปะหลังสับ ๑/๒ ส่วน
ง) จุลินทรีย์ (EM สดหรือหัวเชื้อ ) ๑ - ๒ ช้อนโต๊ะ
จ) กากน้ำตาล ๑ - ๒ ช้อนโต๊ะ
ฉ) น้ำสะอาด ๑๐ ลิตร หรือ ๑ ถัง
วิธีทำ
ก) นำรำละเอียดหรือมันสำปะหลังสับ ผสมกับมูลสัตว์ให้เข้ากัน
ข ) ผสมจุลินทรีย์ EM กับกากน้ำตาล และน้ำ ๑๐ ลิตร ที่เตรียมไว้
ค ) นำแกลบดิบไปจุ่มน้ำที่ผสมจุลินทรีย์ แล้วสลัดพอหมาด ๆ นำมาคลุกเคล้ากับรำและมูลสัตว์
ง ) นำไปใส่กระสอบป่าน แล้วเก็บไว้ในที่ร่มประมาณ ๕ วัน อย่าให้ถูกความร้อน และความชื้น หลังจากนั้น
สามารถนำไปใช้ได้เลย

วิธีใช้
ก) ใช้รองก้นหลุมเพื่อปลูกผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ดอก และไม้ประดับ
ข) ใช้ผสมดินเตรียมแปลงผัก และผสมหญ้าแห้งหรือฟางคลุมแปลงผัก คลุมโคลนต้นไม้ผลทุกชนิด
ค ) ใช้ในการปลูกข้าว ทำนา ช่วยให้ผลผลิตงอกงาม

สูตรดินเพาะเมล็ดชวนชมของท่านมหาสิทธิ์

บทความนี้คัดมาจาก http://www.pantown.com/board.php?id=30284&area=3&name=board4&topic=5&action=view
วัสดุที่จะใช้เพาะเมล็ดชวนชมของท่านมหาสิทธิ์มีดังต่อไปนี้
1.ดินใบก้ามปู 1 ส่วน
2.ขุ๋ยมะพร้าว 1 ส่วน
3.ทราย 1 ส่วน
4.แกลบดำ 1 ส่วน
5.ขี้ค้างคาวและปุ๋ยคอกอย่างละเล็กน้อย
นำ ส่วนผสมในข้อ 1-4 มาผสมเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นเอาใส่ภาชนะที่เราจะเพาะเมล็ดใส่ส่วนผสมชั้นล่างสุดลงไปหนาสัก 1 นิ้ว หลังจากนั้นเราก็เอาขี้ค้างคาวบดให้เป็นผงแล้วโรยลงไปบางๆไม่ต้องหนามาก จากนั้นก็ใส่ส่วนผสมลงไปหนาอีกสัก 1 ซ.ม เสร็จแล้วก็เอาปุ๋ยคอกบดละเอียดโรยทับไปอีกสักหน่อย เสร็จแล้วก็เอาส่วนผสมโรยทับไปอีก 1 ซ.ม แล้วโรยทับด้วยปุ๋ยคอกอีกชั้นแล้วก็ตามด้วยส่วนผสมชั้นบนสุด(อ่านแล้วงงมั๊ย ! ถ้างงส่งเมล็ดมาให้ผมเพาะให้ก็ได้ อิอิ ) เราจะเห็นว่าชั้นล่างสุดเป็นส่วนผสมทั้งหมดต่อมาเป็นขี้ค้างคาว-ส่วนผสม -ปุ๋ยคอก-ส่วนผสม-ปุ๋ยคอก-ส่วนผสม สาเหตุที่เรียงเป็นชั้นแบบนี้เพราะว่าช่วงแรกที่เมล็ดได้งอกนั้นจะไม่ ต้องการปุ๋ยเลยเค้าต้องการแค่ความชื้นและเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากที่เค้าได้แทงรากออกมาจากเมล็ดแล้ว รากเค้าก็จะลงไปหาอาหารเลยแล้วก็ไหลลงต่อไปเรื่อยๆจนรากเค้าไปถึงปุ๋ยขี้ ค้างคาวเมื่ออายุราวๆประมาณ 1 เดือน สาเหตุที่เราใส่ปุ๋ยขี้ค้างคาวไว้ชั้นล่างสุดนั้นเพราะว่าปุ๋ยขี้ค้างคาว นั้นมีค่า P สูงถึง 12 นั่นเอง แต่พวกปุ๋ยคอกมีค่า P แค่ 0.5-0.7 สาเหตุที่เราใส่ปุ๋ยคอกลงไปในการเพาะเมล็ดด้วยนั้น เพราะว่าเราจะบังคับให้ระบบรากของเค้าหากินตั้งแต่ยังวัยเยาว์นั่นเอง และเพื่อเป็นการฝึกนิสัยของเค้าให้คุ้นเคยกับปุ๋ยครับ ส่วนน้ำเราก็รดตามปรกติอย่าให้แฉะมากเกินไปควบคุมให้มีความชื้นให้พอดีไม่ ต้องให้ทุกวันก็ได้แต่ถ้าให้ควรจะให้ในช่วงเช้า และพยายามหลีกเลี่ยงการเพาะช่วงหน้าฝนเพราะว่าหน้าฝนเค้ามีความชื้นสูงมาก เราต้องใช้ยาเข้าช่วยด้วยในบางครั้ง และหน้าหนาวอีกเหมือนกันเมล็ดเกือบแทบทุกชนิดจะขึ้นช้ามากๆ (รากก็เปรียบเสมือนกับปากที่มีหน้าที่หาอาหาร ตราบใดที่ระบบของรากดีเท่าไหร่ นั่นก็หมายถึงต้นไม้จะเจริญเติบโตและสวยงามมากเท่านั้น) รายละเอียดนั้นยังมีอีกตั้งเยอะแยะต้องเรียนรู้กันอีกต่อไปเรื่อยๆ ยังไงคุณเทพาลัยลองนำมาคิดค้นปรับปรุงสูตรของแต่ละท่าน แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้ได้ประโยชน์มากที่สุดก็แล้วกัน ลืมบอกไปอีกเรื่องหนึ่งครับ หลังจากที่เมล็ดได้งอกออกมาแล้วนั้น เราก็เอา B1 ผสมน้ำเจื่อจางฉีดที่ลำต้นทุกๆ 5-7วันก็ได้เพื่อช่วยให้ระบบรากและลำต้นเค้าแข็งแรงขึ้น มีสุขสมหวังการการเพาะเมล็ดนะครับ

วิธีการเสียบกิ่งต้นชวนชม

1.ขั้นตอนขั้นแรกไม้ที่จะเอามาเป็นต้นตอเราต้องดูความพร้อมของไม้เสียก่อน เลือกเอาต้นตอที่ความสมบูรณ์และเนื้อไม้ต้องไม่อ่อนเกินไป หลังจากนั้นไม้ที่เอามาเป็นต้นตอต้องที่อดปุ๋ยเคมีมาซะก่อนอย่างน้อยก็ต้อง มีประมาณซักเดือน(เพื่อความชัวร์)อันนี้ผมก็ฟังเค้ามาอีกที สาเหตุที่ต้องอดปุ๋ยมันเนื่องมาจากไม้ที่เราใส่ปุ๋ยเคมีนั้นมันจะอ่อนไหว เนื้อเยื่อจะไม่ค่อยรับสิ่งเเปลกปลอมให้เข้ามาแทนที่ตรงยอดของเค้าและจะ ทำให้ยอดพันธุ์ดีที่เราเอามาเสียบนั้นเน่าเสียหายได้สูง...ตามหลักการน่าจะ เป็นอย่างนั้นแต่ก็ไม่แน่เสมอไปเพราะไม้ที่ผมใส่ปุ๋ยเคมีได้สองวันผมก็เคย เสียบติดมาเหมือนกัน แต่เป็นเอาว่าตามหลักการเค้าหน่อยก็ดีนะ....แหะๆ ส่วนเรื่องน้ำก็เหมือนกันเค้าก็บอกว่าช่วงน้ำฝนไม้ที่รับน้ำฝนมานั้นได้รับ ไนโตเจนสูงไม่สมควรที่จะนำมาเสียบ แต่ด้วยความอยากรู้อยากลองของผมก็อดที่จะมาทดลองไม่ได้ก็เลยต้องนำมาเสียบ เพื่ออยากรู้ว่ามันจะเป็นจริงดั่งที่เค้าว่ามั๊ย ผลจากการที่ได้ลองเสียบไม้ในหน้าฝน......ยกตัวอย่างเมื่อคืนฝนตกรุ่งเช้าผม ก็ได้นำตอฮอลแลนด์มาเสียบราชินีพันดอก..เสียบไป 11 กิ่ง เน่าไป 1 กิ่ง โดยตอนที่เสียบนั้นผมได้ยกไม้เข้าร่มและไม่ได้คลุมถุงซะด้วย...ฟลุ๊คดีจริงๆ ...แหะๆ สวรรค์มีตาชั่งเห็นใจเราจริงๆ แต่เอาเป็นว่าการเสียบยอดเสียบได้ทุกฤดูแต่ถ้าเป็นช่วงฤดูฝนอากาศมันมีความ ชื้นสูงจำเป็นต้องมียากันการเน่าของกิ่งเข้าช่วยเค้าหน่อย แต่ถ้าเป็นช่วงหลังฤดูฝนจนถึงฤดูร้อนเสียบเข้าไปเถอะพี่น้องเสียบเป็นติด ขยับ(กิ่ง)เป็นหลุด 55555... เอาเป็นว่าการอดน้ำก็เป็นปัจจัยที่สำคัญแต่ก็คงจะไม่มาก สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเสียบก็คือ......นิ้วของเรานี่เอง....โปรดพึงระวัง ให้ดีนะครับ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าอวัยวะของเรา...กิ่งถ้ามันเสียหายหรือเน่าเรายังพอหาใหม่ ได้แต่นิ้วของเราสิถ้าเป็นแผลและติดเชื้อนี่สิเรื่องใหญ่มันได้ไม่คุ้มเสีย นะครับ เอาเรามาเตรียมอุปกรณ์ในการเสียบกันดีกว่า....จ้า ดั่งในภาพที่เห็นครับ ของที่ผมใช้ก็มีอยู่แค่..เนี่ย.....ส่วนเครื่องเล่น mp-3 นั้นนอกรายการแต่ผมจะนำมาฟังเวลาเสียบยอดเพราะจะทำให้อารมณ์ของเราจะเคลิ้บ เคลิ้มไปกับเสียงเพลงแต่อย่าเปิดเพลงแดนซ์นะเดี๋ยวอารมณ์ของเราจะกระเจิงไป กับเสียงเพลงอาจจะพาลงานเสียบยอดนั้นเละกระจายไปกับเสียงเพลงได้ 5555 ทางที่ดีต้องฟังเพลงประเภทสไตส์แจ๊สหรือสไตล์นิวเอทถึงจะเข้าถึงอารมณ์ สุนทรีย์...จุ๊กกรู้...ๆ


เครื่องมือที่ต้องใช้
2. เตรียมต้นตอที่มีขนาดกำลังพอดีพยายามเลือกกิ่งของตอและยอดพันธุ์ให้มีขนาด ใกล้เคียงกันเพื่อที่เนื้อเยื่อจะได้แนบชิดเหมาะเจาะ ส่วนกิ่งพันธุ์ดีก่อนที่เราจะนำไม้มาเสียบนั้นทางที่ดีเราควรจะริดใบของเค้า ให้ออกเสียหมดก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เค้าคลายน้ำในกิ่งมากเกินไปแล้วปล่อย ไว้ให้คาลำต้นไว้อย่างนั้นจนกว่าขั้วใบจะหลุดออกจากกิ่งแล้วค่อยนำมาเสียบดี กว่า แต่ก็มีบางท่านที่ไม่ได้ริดใบก่อนที่จะเสียบก็มี...แบบตัดปุ๊ปเสียบปั๊ปเลย แต่โดยส่วนตัวผมไม่ชอบวิธีนี้เพราะว่าเวลาเราคลุมถุงแล้วบางครั้งใบที่คากับ ยอดนั้นชอบร่วงคาอยู่ในถุงบางครั้งก็ลืมเก็บออกทำให้ใบที่ร่วงนั้นเกิดอาการ เน่าได้และพาลเอาเชื้อไปสู่กิ่งพันธุ์ได้ แต่มีวิธีอีกเสียบอีกวิธีหนึ่งที่บางท่านได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย....คือหลัง จากที่ตัดยอดพันธุ์ดีมาแล้วให้ริดใบออกทั้งหมดเหลือไว้แต่ใบอ่อน แล้วก็สสัดยางที่ค้างอยู่ตรงขั้วใบออกไว้ให้หมดแล้วค่อยนำมาเสียบ แต่วิธีนี้ก็มีปัญหาเหมือนกันตรงที่เวลาที่ขั้วใบยังคาอยู่กับกิ่งนั้นแผล มันยังสดอยู่อาจจะพาลให้กิ่งพันธุ์นั้นติดเชื้อและเน่าได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าใครสะดวกแบบไหนก็ทำได้เลยเพราะที่ผมว่ามาทั้งสามแบบนั้นผมก็ได้ ลองมาหมดแล้วก็ติดทุกวิธี...แต่มาชอบวิธีแรกมากกว่าเพราะไม่มีใบและขั้วใบมา คอยให้เกิดปัญหาในภายหลังได้ครับ

ต้นตอและยอดพันธุ์ดี
3. ตัดยอดพันธุ์ดีมาประมาณซัก 3 นิ้วกำลังดีเพราะว่าเนื้อไม้ยิ่งเยอะการติดจะดีกว่าเนื้อไม้ที่น้อย แต่บางครั้งยอดพันธุ์ดีมีความยาวประมาณซัก 2 เซนติเมตรก็สามารถนั้นมาเสียบได้เช่นกันแต่ไม่ขอแนะนำครับ เอายาวไว้ก่อนเป็นดี เสร็จแล้วเราก็ตัดต้นตอเลยแล้วเอาผ้าซับน้ำหล่อเลี้ยงยางที่ออกมาจากลำต้น ให้หมด ตรงนี้แหละสำคัญเพราะยางก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้กิ่งนั้นเน่าเสียหายได้

4. ซับยางจนกว่าตรงรอยที่ปาดจะหมดยางแล้วก็นำมีด(ที่คม)มาบากให้เป็นดั่งในภาพแต่อย่าให้รอยบากลึกลงไปน้อยกว่า 1 เซนติเมตร


5. เสร็จแล้วเราก็นำยอดพันธุ์ดีมาเฉือนเป็นรูปลิ่มตามรูปที่เห็นแล้วก็นำมา เสียบลงไป..ที่สำคัญเนื้อเยื่อตรงที่ไม้จะแนบติดกันอย่าให้เกิดรอยช้ำ..ตรง นี้สำคัญมาก

6.หลังจากบากตอแล้วปาดลิ่มแล้วก็เสียบลงไป....เลย ก็จะได้ดั่งในภาพนี้

7. เสร็จแล้วก็นำเชือกฟางมาพันไว้พยายามให้ปมที่มัดไว้ให้อยู่ตรงด้านของเนื้อ ด้านตอ อย่าให้ปมที่มัดไว้ไปอยู่ตรงด้านของยอดพันธุ์ดี เพราะว่าแรงกดจากการมัดปมอาจจะทำให้เนื้อตรงนั้นที่บอบบางช้ำและเน่าได้

8. แล้วก็หาถุงขนาดพอดีไม่ต้องใช้ขนาดใหญ่มากเอาแค่พอคลุมส่วนยอดไว้ก็พอ แล้วก็ดูทิศทางการไหลของหยาดน้ำในถุงด้วยพยายามอย่าให้หยาดน้ำในถุงนั้นไหล เข้ามาสู่ตรงรอยแผลที่เสียบไว้ คลุมไว้แบบนี้ในที่ร่มประมาณซัก 10 วัน กรณีถ้าเราคลุมไปซัก 2-3 วันแล้วหยาดน้ำในถุงนั้นเยอะมากเราก็แกะถุงออกมาแล้วกลับด้านในออกมาสลัดน้ำ แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้งแล้วก็คลุมกันต่อไป
:หมายเหตุช่วงที่เราเอาหยาด น้ำออกจากถุงนั้นพยามยามอย่าทำในช่วงที่อากาศร้อนจัดเพราะอาจจะทำให้ยอด พันธุ์ดีนั้นโดนอากาศที่ร้อนกว่าตอนที่อยู่ในถุงอาจจะทำให้ยอดนั้นชะงักได้ ควรทำในตอนเย็นหรือช่วงที่อากาศไม่ร้อนจัด

9. ส่วนเรื่องของตอใหญ่กว่ากิ่งพันธุ์ดีก็ดูตามรูปเลยวิธีทำก็เหมือนกันกับวิธีแรก
1. เสียบแบบติดชิดริมของตอด้านใดด้านหนึ่ง....วิธีนี้โอกาสของยอดพันธุ์จะติดดี กว่าเสียบยอดพันธุ์ไว้ตรงกลางระหว่างตอ เพราะว่าท่อส่งอาหารของต้นไม้จะอยู่ด้านข้างของกิ่ง ทำให้ยอดติดได้ดีกว่าเสียบไว้ตรงกลางระหว่างตอ วิธีนี้เหมาะที่สำหรับจะเสียบยอดพันธุ์ที่หายาก (กิ่งแม่) แต่เวลาที่กิ่งติดดีแล้วกิ่งยอดพันธุ์ได้เจริญเติบโตมันจะไม่สมดุล..คือ เนื้อเยื่อตรงที่เสียบมันจะไม่อมหัวตอแบบบาลานซ์

2.แต่ถ้าเราเสียบ ยอดไว้ตรงกลางระหว่างตอเนื้อเยื่อจะเดินช้ากว่าการเสียบริมตอแต่เวลาที่กิ่ง พันธุ์ได้เจริญเติบโตมันจะดูสวยงามกว่าเสียบแบบริมตอ
เท่าที่ผมสังเกต มาตรงระหว่างไส้กลางของตอ เนื้อเยื่อตรงส่วนนั้นมันจะอ่อนกว่าตรงด้านริมตอ อาจจะทำให้การเสียบยอดตรงกลางตอนั้นเนื้อเยื่ออาจจะเดินช้ากว่าแบบเสียบชิด ริมตอ แต่เท่าที่ผมลองเสียบมาทั้งสองแบบ....เสียบแบบริมตอหรือกลางตอก็ติดได้ดี เหมือนกัน

ด้านซ้ายเป็นแบบเสียบชิดริมตอ ส่วนด้วนขวาเป็นแบบเสียบกลางตอ

10. ส่วนภาพนี้เวลาที่เราปาดลิ่มตรงยอดพันธุ์ดีให้ปาดพอดีกับรอยบากของตอ อย่าปาดให้แผลยาวกว่าตอเพราะอาจจะทำให้ยอดพันธุ์มีแผลเกินมากขึ้นทำให้การ สูญเสียความชื้นนั้นมีมากและอาจจะพาลให้ติดเชื้อโดยง่ายด้วย

อย่างในภาพนี้ถือว่าปาดแผลยาวกว่ารอยบากของตอ....ถือว่าไม่ดีพอ


11. อย่างกับภาพนี้เราจะเห็นรอยแผลตรงลิ่มพอดีกับรอยบากของตอเลย ต้องให้มันได้แบบนี้..ถือว่าสวยเลยทีเดียว


12. ส่วนภาพนี้ก็ยอดพันธุ์พอดีกับตอทำให้รอยเสียบดูสวยงามและการติดของเนื้อเยื่อนั้นเป็นไปได้สูงเลยทีเดียว

13. และภาพนี้คือต้นตอที่สมบูรณ์บวกกับเนื้อไม้มีความพร้อมที่เหมาะสำหรับการ เสียบยอดและที่สำคัญก็คืออุณหภูมินั้นก็มีส่วนต่อการที่จะทำให้เนื้อไม้นั้น แนบติดสนิทและปูดปลิ้นออกมาได้ด้วย

14. และก็มาถึงบทสุดท้ายของการเสียบยอดเพื่อการขยายพันธุ์(ชวนชม) ถ้าท่านใดพอมีเวลาว่างก็ลองฝึกเสียบยอดดูนะครับ ของแบบนี้ถ้าเรายังไม่ลองเราก็จะไม่รู้ แต่ถ้าท่านที่เสียบยอดเป็นแล้วก็ผ่านไปได้เลย ยังไงถ้าบทความที่ผมได้พิมพ์ลงในบ้านหลังนี้เป็นวิทยาทานที่ยังไม่ถูกต้องดี นัก กระผมก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย หรือว่าท่านที่มีประสบการณ์ที่มากกว่าผมก็เชิญแนะนำด้วย...กระผมยินดีน้อม รับไว้เป็นวิชาติดตัว......ขอบคุณครับ

สุดท้ายของกระทู้ในการเสียบ ในวันนี้ ผมขอทิ้งท้ายด้วยภาพนี้...น้องพลับขอเบิ้ลสาม วิธีเสียบแบบสามยอดนั้นยอดจะต้องมีขนาดเท่ากันทั้งสาม ถ้าไม่อย่างนั้นแผลจะไม่แนบสนิทกันกับตอในกรณีที่ยอดใดยอดหนึ่งมีขนาดเล็ก กว่าครับ....



 

ข้อมูลทั้งหมดนี้คัดลอกมาจาก ที่นี้